จังหวัดโคจิ แดนลับแห่งสุดท้ายกับเส้นทางรับลมชมวิว 4 ทิวทัศน์งาม

จังหวัดโคจิ ตั้งอยู่บริเวณทางใต้ของภูมิภาคชิโกกุ ประเทศญี่ปุ่น เป็นบ้านเกิดของ "ซากาโมโตะ เรียวมะ" นักปฏิวัติยุคบากูมัตสึ ที่นี่มีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ทั้งยังมีลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติอันแสนพิเศษ รวมถึงแนวชายฝั่งทะเลทอดยาว 713 กิโลเมตรที่โอบล้อมมหาสมุทรแปซิฟิกเอาไว้ ไม่เพียงแต่อุดมไปด้วยอาหารเลิศรสมากมาย ทัศนียภาพธรรมชาติอันงดงามได้รังสรรค์ขึ้นนั้นก็มีมากมายเช่นกัน แม้ว่าทางรถไฟ รถบัส และระบบการขนส่งสาธารณะอื่น ๆ ของโคจิจะค่อนข้างสมบูรณ์แบบ แต่ด้วยขีดจำกัดทางลักษณะภูมิประเทศที่มีความสูงต่ำ ทำให้ยังมีทิวทัศน์อันงดงามอีกจำนวนมากที่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์จึงจะสะดวกสบายกว่า
บทความนี้ได้เรียบเรียงเส้นทางรับลมชมวิวทิวทัศน์ 4 สาย ในมุมของการขับรถเที่ยวด้วยตัวเอง แนะนำจุดชมวิวตามเส้นทางที่มุ่งสู่จุดหมายปลายทาง ไม่ว่าจะเช่ารถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ ก็สามารถเพลิดเพลินรับลมชมวิวไปพร้อมกับการสัมผัสความงดงามของธรรมชาติในจังหวัดโคจิได้อย่างเต็มที่

รับลมชมวิวชายฝั่งทะเลตะวันออก-สำรวจอุทยานธรณีโลกมุโรโตะ

เมืองมุโรโตะอยู่ทางตะวันออกของจังหวัดโคจิ ตั้งอยู่บริเวณแหลมมุโรโตะที่ยื่นออกไปในมหาสมุทรแปซิฟิก หลังจากผ่านการระเบิดของภูเขาไฟและการกัดเซาะของลมกับน้ำทะเลมานานหลายปี ก็ได้รังสรรค์ขึ้นเป็นทัศนียภาพทางธรรมชาติอันมีเอกลักษณ์ และด้วยเหตุนี้จึงได้รับการรับรองให้เป็น "อุทยานธรณีโลก" นอกจากจะได้เห็นรูปร่างของชั้นหินที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกและพืชกึ่งเขตร้อนที่งอกงามอย่างอุดมสมบูรณ์แล้ว ยังได้ค้นพบร่องรอยฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตในทะเลสมัยดึกดำบรรพ์จากโครงสร้างทางธรณีวิทยาเหล่านี้ ไปจนถึงสัมผัสการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องของพื้นโลกได้อีกด้วย
ทัศนียภาพบริเวณแหลมทะเลไม่เพียงแต่กว้างใหญ่ไพศาล ยามพระอาทิตย์ขึ้นและตกยังงดงามจนแทบลืมหายใจ ยากที่จะลืมเลือนได้ มิตรสหายผู้ชื่นชอบทิวทัศน์ธรรมชาติ สามารถเช่ารถจากเมืองโคจิและขับมาตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 55 เพื่อมาท่องเที่ยวชมวิวยังชายฝั่งทะเลตะวันออกของโคจิสักครั้ง!

ระหว่างทางจากเขตเมืองโคจิไปตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกของโคจิที่มุ่งหน้าสู่แหลมมุโรโตะ จะผ่านเมืองอากิ บ้านเกิดของอิวาซากิ ยาทาโร่ ที่นี่มี "ถ้ำอิโอกิ" ซึ่งเป็นถ้ำทะเลทางธรรมชาติที่เกิดจากการยกตัวของแผ่นดินอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกเมื่อ 3 ล้านปีก่อน และถูกคลื่นทะเลกัดกร่อนเป็นเวลายาวนาน เมื่อผ่านเข้าไปในถ้ำจะเสมือนได้เข้าไปในป่าของเจ้าหญิงโมะโนะโนะเกะ พืชกลุ่มเฟิร์นซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมีมากถึง 40 กว่าสายพันธุ์ มากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นสารานุกรมพืชกลุ่มเฟิร์นเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงได้ขึ้นทะเบียนเป็น "อนุสาวรีย์ธรรมชาติแห่งชาติ" แนะนำให้วางที่นี่ให้เป็นจุดแวะพักระหว่างทาง เพื่อดูดซับไฟทอนไซด์ธรรมชาติและสัมผัสกลิ่นอายธรรมชาติเมื่อล้านปีก่อน

ขับต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 55 ที่มุ่งหน้าสู่ตะวันออกอีกประมาณ 9 นาที จะมองเห็น "พื้นที่พักผ่อนโทโนะฮามะ" สิ่งปลูกสร้างสีขาวสไตล์ยุโรปอยู่ข้างทาง เป็นพื้นที่พักผ่อนสไตล์ยุโรปที่สร้างขึ้นโดยใช้ภาพลักษณ์แบบเมืองพี่เมืองน้องอย่าง "สเปน- มอนเตฟริโอ" ด้วยภายนอกมีสีขาวราวหิมะและตั้งอยู่ด้านหน้าของมหาสมุทรแปซิฟิกสีครามจึงค่อนข้างดูโดดเด่นสะดุดตา นอกจากนี้ยังเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงใน IG ในช่วงที่ผ่านมานี้อีกด้วย ซึ่งนอกจากจะมีศาลาและม้านั่งให้ชมหาดทรายกับมหาสมุทรแล้ว ยังมีห้องน้ำที่สะอาดและสะดวกสบายไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย แนะนำให้มาพักที่นี่สักครู่ ให้ความเหนื่อยล้าจากการขับรถทางไกลมลายหายไปกับทัศนียภาพอันงดงามนี้

เมื่อพักผ่อนเรียบร้อยแล้ว เดินทางต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 55 ไปยังเส้นตะวันออกเดิมอีกประมาณ 40 นาที ก็จะถึงเมืองมุโรโตะ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่จับปลาชั้นยอดอย่าง "ปลาคินเมะได" ได้มากเป็นอันดับ 1 ของญี่ปุ่นตะวันตก อาหารอย่าง "ข้าวหน้าปลาคินเมะได" ก็เป็นอาหารชั้นเลิศที่มาแล้วต้องทานให้ได้ ขอแนะนำร้าน "เรียวเท คาเก็ทสึ" ที่อยู่ข้างท่าเรือโทะสะมุโรสึ ซึ่งเป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดกิจการมาตั้งแต่ยุคไทโชปีที่ 14 (พ.ศ.2468) และลิ้มลอง "อาหารจากปลาคินเมะได" รสเลิศที่สืบทอดกันมาเกือบร้อยปีเพื่อเป็นการเติมพลังชีวิต

อิ่มหนำสำราญแล้วจึงค่อยออกเดินทางต่อ ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 55 และมุ่งหน้าไปทางตะวันออกประมาณ 10 นาที "แหลมมุโรโตะ" จุดหมายปลายทางของคุณจะอยู่ทางด้านขวามือ นอกจากจะได้เห็นทัศนียภาพอันงดงามระดับโลกด้วยตาคุณเองแล้ว ใกล้กันยังมี "วัดโฮสึมิซาคิจิ" เฮนจิชิโกกุลำดับที่ 24 และจุดรับพลังอย่าง "ถ้ำมิคุโรโดะ" เลียบไปตาม SKY LINE มุโรโตะขึ้นไปทางยอดเขา ยังมี "ประภาคารแหลมมุโรโตะ" รวมถึงหอคอยที่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามได้กว้างไกลขึ้น แนะนำสำหรับมิตรสหายทั้งหลายที่ชื่นชอบการรับลมชมธรรมชาติ

ราวกับว่าอยู่บนเทือกเขาแอลป์ในสวิตเซอร์แลนด์ "ชิโกกุคาสต์"

"อุทยานธรรมชาติชิโกกุคาสต์" เป็น 1 ใน "3 สุดยอดภูมิประเทศแบบคาสต์ของญี่ปุ่น" ตั้งอยู่บนภูเขาสูงบริเวณเมืองสึโนะ เมืองยุซุฮะระ รวมถึงเขตรอยต่อกับจังหวัดเอฮิเมะ ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 383 ซึ่งตัดขวางที่ราบสูงชิโกกุคาสต์ (หมายเหตุ 1) มีความสูง 1,000-1,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล เส้นทางสันเขายาว 25 กิโลเมตร จากตะวันออกไปตะวันตก เมื่อทอดสายตามองไปจะเป็นทุ่งหญ้ากว้าง แนวเทือกเขายาว ในช่วงที่หินปูนสีขาวฟุ้งกระจาย ทัศนียภาพเปรียบเสมือน "เทือกเขาแอลป์ของสวิตเซอร์แลนด์" และได้รับการขนานนามว่า "ถนนลอยฟ้า" ทั้งยังได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน "100 เส้นทางที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น" ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางชมทิวทัศน์งามที่นักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบการขับรถไม่ควรพลาด
เช่ารถออกเดินทางจากเขตเมืองโคจิ ผ่านทางหลวงจังหวัดหมายเลข 197 และทางหลวงจังหวัดหมายเลข 439 จะมีจุดชมวิวกับร้านคาเฟ่ท้องถิ่นที่คุ้มค่าแก่การแวะพัก ในย่อหน้านี้จะบอกคุณอย่างละเอียด

ออกเดินทางจากเมืองโคจิ หลังจากขับรถไปบนทางด่วนโคจิประมาณ 40 นาทีและลงมาทางซูซากิอินเตอร์เชนจ์ จะเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 197 วิ่งไปประมาณ 40 นาที จะถึงโรงแรม "ยุซัน ชิมันโตะ เซรัน โนะ ซาโตะ" ซึ่งตั้งอยู่บริเวณช่วงปลายสุดของ "ต้นแม่น้ำชิมันโตะ" โรงแรมมีการตกแต่งด้วยไม้ที่ให้บรรยากาศอบอุ่น ห้องพักทุกประเภทมีระเบียง จะได้ยินเสียงแม่น้ำชิมันโตะขับกล่อมให้หลับใหล "บุฟเฟ่ต์อาหารกลางวันวีแกน" ที่โรงแรมจัดเตรียมไว้ให้จะใช้วัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวในวันนั้นมาปรุงอาหาร ทำให้รู้สึกได้ถึงความรักและเอาใจใส่ของผู้คนในท้องถิ่น หากคุณผ่านสถานที่แห่งนี้ในช่วงกลางวัน แนะนำให้หยุดพักรับประทานอาหารสักมื้อ และสัมผัสกับกลิ่นอายของแม่น้ำชิมันโตะ

จากทางหลวงจังหวัดหมายเลข 197 ไปยังทางหลวงจังหวัดหมายเลข 439 ระยะทางประมาณ 4 นาที จะพบกับ "คฤหาสน์โยชิมุระ โทระทาโร่" ที่พำนักเดิมของโยชิมุระ โทระทาโร่ ซึ่งเป็น 1 ใน "4 วีรบุรุษโทะสะ" ผู้มีชื่อเสียงเช่นเดียวกับซากาโมโตะ เรียวมะ นักปฏิวัติยุคบากูมัตสึผู้ยิ่งใหญ่ บอกเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของโทระทาโร่ผ่านหนังสือโบราณและภาพ ด้านหน้าคฤหาสน์ยังมี "สะพานฮายาเสะ โนะ อิปปอนบาชิ" ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นสะพานใต้น้ำแบบดั้งเดิม เป็นจุดชมวิวทางประวัติศาสตร์ที่จะได้สัมผัสกับทิวทัศน์ของโคจิ ควรค่าแก่การมาเยี่ยมชมยิ่งนัก

ออกจาก "คฤหาสน์โยชิมุระ โทระทาโร่" ขับต่อไปทางเหนือเส้นทางหมายเลข 439 ประมาณ 7 นาที จะถึง "ร้านอาหารเกษตรกร ต้นแปะก๊วย café" ที่บรรดาชาวบ้านในพื้นที่ใช้โรงเรียนประถมที่ถูกทิ้งร้างเปิดเป็นกิจการขึ้นมา ให้บริการด้วยวัตถุดิบที่หาได้ในป่าวันนั้น เทมปุระผักป่าทานแล้วรู้สึกได้ถึงความสดใหม่ของผักและรสชาติที่หวานอร่อย ทั้งอาหารที่ดีต่อสุขภาพหลากหลายรูปแบบและการต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ทำให้รู้สึกถึงความอบอุ่นมากขึ้นเป็นเท่าตัว ต้นแปะก๊วยที่อยู่ใกล้ร้านอาหาร ในทุกฤดูใบไม้ร่วงจะปกคลุมบริเวณใกล้เคียงจนกลายเป็นพรมสีเหลืองทองสวย ช่วยให้ผ่อนคลายได้อย่างยิ่ง (หมายเหตุ: การรับประทานอาหารต้องจองล่วงหน้า)

จากทางหลวงจังหวัดหมายเลข 439 มุ่งหน้าไปยังชิโกกุคาสต์ แนะนำให้วิ่งเส้น "ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 304 (หมายเหตุ 2)" ซึ่งถนนจะค่อนข้างกว้างกว่า ใช้เวลาประมาณ 25 นาทีจะถึง "ที่ราบสูงเท็นงู" ซึ่งเป็นปากทางเข้าของชิโกกุคาสต์ เนื่องจากสูงกว่าระดับน้ำทะเลมากและไม่มีการทำลายจากแสง จึงเป็นสถานที่แสนวิเศษสำหรับการดูดาวอันดับต้น ๆ ของจังหวัดโคจิ ที่พักใน "หมู่บ้านแห่งดาวตก TENGU" มีทั้งหอดูดาว ท้องฟ้าจำลอง และยังมี "ห้องพักดวงดาว" ที่สามารถโอบกอดดวงดาวให้หลับใหลไปด้วยกัน แนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวทั้งหลายที่ชื่นชอบการดูดาวและการถ่ายภาพดวงดาว พักแรม 1 คืน ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นเลิศรสของโคจิ บริเวณใกล้เคียงยังมี "เส้นทางเดินบำบัดบนป่าที่ราบสูง" ซึ่งสามารถดูดซับไฟทอนไซด์ผ่อนคลายความกดดันได้

(หมายเหตุ 1) ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 383 "ถนนลอยฟ้า" จะปิดช่วงต้นเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมีนาคม เนื่องจากหิมะตกหนักในฤดูหนาว จากตัวจังหวัดโคจิจะไปถึงได้แค่ "หมู่บ้านแห่งดาวตก TENGU"
(หมายเหตุ 2) การเดินทางจากทางหลวงจังหวัดหมายเลข 439 ระบบนำทางมักจะนำไปทางหลวงจังหวัดหมายเลข 48 แต่เนื่องจากทางแคบและคดเคี้ยว แนะนำให้ใช้ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 304 จะสบายกว่า

รับลมชมวิวที่อุทยานธรณีโทะสะชิมิซึ-สู่ "เกาะคาชิวะ" ทิวทัศน์งามดั่งอวกาศเสมือนเกาะลัมเปดูซาของอิตาลี

"เกาะคาชิวะ" อยู่ปลายสุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของโคจิ มีทะเลสีฟ้าคราม หาดทรายขาวบริสุทธิ์ เป็นทิวทัศน์ในฝันเฉกเช่นเกาะลัมเปดูซาของอิตาลี ทำให้ยากที่จะลืมได้ลง เนื่องจากน้ำทะเลใสสะอาดมาก ทำให้เรือ เรือแคนู เรือยืนพาย ที่เทียบท่าอยู่ที่นี่ ดูประหนึ่งล่องลอยอยู่บน "ทิวทัศน์งามดั่งอวกาศ" ทำให้ผู้คนต่างแห่แหนกันไปเที่ยว

แม้ว่าการขึ้นทางด่วนโคจิไปที่ซุคุโมะวาดะ IC แล้วเปลี่ยนเป็นเส้นทางธรรมดาเพื่อไปยังเกาะคาชิวะจะเป็นเส้นทางที่รวดเร็วที่สุด แต่ในเมื่อมาถึงปลายสุดทางตะวันตกเฉียงใต้ของโคจิแล้ว ก็ไม่ควรพลาดจุดชมวิว "อุทยานธรณีโทะสะชิมิซึ" ซึ่งได้รับการรับรองไปเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.2564 จุดชมวิวที่กระจายตัวอยู่ตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 321 นั้น มีวิวพาโนรามา 270 องศาอยู่ทางตอนใต้สุดของชิโกกุ โดยมี "แหลมอะชิซุริ" ที่ทำให้รู้ว่า "โลกเป็นทรงกลม" เป็นจุดชมวิวหลัก บริเวณใกล้เคียงยังมี "7 จุดชมวิวมหัศจรรย์" ที่เต็มไปด้วยตำนานของปรมาจารย์โคโบไดชิ รวมถึง "วัดคงโกฟุคุจิ" เฮนจิชิโกกุลำดับที่ 38 ทุกที่ล้วนคุ้มค่าแก่การมาเยือน

จากแหลมอะชิซุริออกเดินทางไปยังทางหลวงจังหวัดหมายเลข 321 ใช้เวลาประมาณ 35 นาที ก็จะถึง "อุทยานทางทะเลทัตสึคุชิ" ที่นี่นอกจากจะมีแนวปะการังที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่นรวมถึงมีระบบนิเวศวิทยาของปลาเขตร้อนแล้ว ยังเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของญี่ปุ่นอีกด้วย โดยมี "พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอะชิซุริจังหวัดโคจิ" เป็นจุดหลักในการทำความรู้จักกับนิเวศวิทยาท้องถิ่น นั่งเรือท้องกระจกชมแนวปะการังใต้ทะเล เยือน "ชายฝั่งทัตสึคุชิ" และ "ชายฝั่งมิโนโคชิ" ซึ่งเป็นชายฝั่งทะเลหินแปลกที่ธรรมชาติรังสรรค์ขึ้น ชมนิเวศวิทยาใต้ทะเลที่ "พิพิธภัณฑ์ใต้ทะเลอะชิซุริ" ในมุมมองของนักประดาน้ำ เป็นต้น จุดชมวิวนี้เหมาะแก่การแวะพักระหว่างทางเป็นอย่างยิ่ง

จากทางหลวงจังหวัดหมายเลข 321 ขับเข้าไปในทางหลวงจังหวัดหมายเลข 43 ระหว่างทางไปยังเกาะคาชิวะซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางจะผ่านชายฝั่งโอโด คุณสามารถชมทิวทัศน์หินแปลกที่มีลักษณะคล้ายรูปปั้นเจ้าแม่กวนอินที่ "หอสังเกตการณ์หินกวนอิน" และ "ชายหาดชิราฮามะ" ในฝัน เมื่อมาถึงเกาะคาชิวะ นอกจากถ่ายภาพเช็คอินและเล่นน้ำแล้ว ใกล้กันยังมีร้านมากมายให้บริการเรือแคนู เรือยืนพาย ดำน้ำตื้น ดำน้ำลึก อีกด้วย เพลิดเพลินไปกับวิวทะเลแสนงดงามของที่แห่งนี้ได้อย่างเต็มที่ผ่านกิจกรรมเสริมประสบการณ์ในรูปแบบต่างๆ รับรองว่าคุณจะได้รับความทรงจำที่น่าจดจำอย่างแน่นอน

เส้นทางรับลมชมวิวระหว่างน้ำเงินนิโยโดะและถนนลอยฟ้า "UFO LINE"

UFO ใน "UFO LINE" ไม่ได้หมายถึงวัตถุบินได้ แต่เป็นการถอดเสียง "ยูโฮ" ด้วยตัวอักษรโรมัน มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า "ถนนเมือง- สายคาเมะกาโมริ" เป็นเส้นทางเทือกเขายาว 27 กิโลเมตร เลียบไปตามแนวสันเขา จุดที่สูงที่สุดสูงจากระดับน้ำทะเล 1,690 เมตร เป็นเส้นทางชมวิวที่โด่งดังมากในจังหวัดโคจิ ระหว่างทางไป "UFO LINE" จะผ่าน "สายน้ำใสมหัศจรรย์-แม่น้ำนิโยโดะ" ซึ่งนอกจากจะได้เยี่ยมชมทิวทัศน์ "น้ำเงินนิโยโดะ" เลียบไปตามทางแล้วนั้น ก็ยังมีจุดชมวิวที่ดีอีกจำนวนหนึ่งซึ่งควรค่าแก่การแวะพักอีกด้วย

เมื่อมาถึงเมืองอิโนะที่อยู่ห่างจากเขตเมืองโคจิประมาณ 20 นาที จะนับว่าเข้ามาในปากทางลุ่มแม่น้ำนิโยโดะแล้ว วิ่งบนทางหลวงจังหวัดหมายเลข 194 ที่เคียงคู่ไปกับแม่น้ำนิโยโดะ นอกจากจะได้ชื่นชมความงดงามทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำแล้ว เมืองอิโนะยังเป็นแหล่งกำเนิดของกระดาษวาชิโทะสะอีกด้วย สามารถลองทำโปสการ์ดกระดาษวาชิแฮนด์เมดได้ที่ "หมู่บ้านศิลปะงานกระดาษวาชิโทะสะ QRAUD" นอกจากนี้ยังมี "สะพานใต้น้ำนาโกย่า" ที่อยู่ใกล้เพียง 4 นาที เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในบรรดาสะพานใต้น้ำทั้ง 6 แห่งของแม่น้ำนิโยโดะ "เรือทรงบ้านแม่น้ำนิโยโดะ" เรือนำเที่ยวเพียงหนึ่งเดียวก็อยู่ใกล้ๆ นี้เอง หากต้องการชื่นชมความงดงามของน้ำเงินนิโยโดะอย่างใกล้ชิดมากขึ้น แนะนำให้หยุดพักที่นี่สักครู่

จากนั้นเดินทางต่อไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 194 จะพบกับ "ร้าน ICE โคจิ" อยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำนิโยโดะ ที่นี่สามารถชมแม่น้ำนิโยโดะสีน้ำเงินที่แสนงดงาม ไปพร้อมกับการรับประทานของหวานแช่แข็งหลากหลายรูปแบบที่ผลิตจากวัตถุดิบท้องถิ่นของโคจิ "Made in โทะสะ" มีไอศกรีมรสชาติเฉพาะของโคจิ เช่น ส้มโอกลม ส้มโอรี ส้มยามากิตะ เกาลัดชิมันโตะ เกลือ เป็นต้น ของอร่อยและทิวทัศน์งามอยู่ตรงหน้าขนาดนี้ ย่อมเป็นความสุขเล็ก ๆ ในระหว่างการขับรถเที่ยวอย่างแน่นอน

จากทางหลวงจังหวัดหมายเลข 194 ไปต่อทางเหนือประมาณ 20 นาที จะถึงสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษของน้ำเงินนิโยโดะ ว่ากันว่ามีจุดชมวิวศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีเทพแห่งน้ำสถิตอยู่อย่าง "แอ่งน้ำตก NIKO" นั้น มีแอ่งน้ำตกสีครามที่งดงามดุจแดนสวรรค์จนแทบลืมหายใจ จากนั้นมุ่งหน้าไป UFO LINE ต่อ จะผ่าน "สถานีริมทางโคโนกะ" ซึ่งมี "โคโนกะออนเซ็น" อยู่ด้านข้าง สามารถเข้าไปแช่น้ำเพื่อขจัดความเมื่อยล้าจากการขับรถได้ เหมาะสำหรับแวะพักผ่อนตอนเดินทางกลับ

วิ่งต่อไปบนทางหลวงจังหวัดหมายเลข 194 ชิดทางขวาหน้าทางเข้าอุโมงค์ภูเขาคันปุ ไปตามเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวขรุขระประมาณ 40 นาที ก็จะถึง "UFO LINE" ในวันที่อากาศปลอดโปร่งจะสามารถมองเห็น "ภูเขาอิชิสึจิ" ซึ่งถือว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นตะวันตก หากมองไปทางใต้จะเห็นน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกอยู่ไกลๆ ได้รับขนานนามว่า "หอชมวิวรอบชิโกกุ" ใบเมเปิลที่ปกคลุมทั่วภูเขาในเดือนตุลาคมก็กลายเป็นจุดชมเมเปิลยอดนิยมในจังหวัดโคจิด้วยเช่นกัน และยังมี "SHIRASA วิลล่า" ที่สามารถพักค้างคืนได้อีกด้วย ขับรถทางไกลต้องเหนื่อยล้าอย่างแน่นอน พักผ่อนฟื้นฟูเติมพลังให้เต็มที่ แล้วค่อยเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพแสนงดงามระหว่างทางขากลับเมืองโคจิกันเถอะ!